6 ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากคุณแม่มีความดันโลหิตสูง
เกร็ดความรู้
การดูแลความดันโลหิตให้อยู่ในระดับเหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
หากคุณแม่มีความดันโลหิตสูง ควรควบคุมให้พอดีเพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
วิธีวัดค่าความดันโลหิต
คุณแม่สามารถวัดความดันโลหิตได้ง่าย ๆ ด้วยเครื่องวัดความดันอัตโนมัติ โดยสามารถสวมใส่บนข้อมือ หรือสวมที่แขนเพื่อวัดความดันทุกวัน
การความดันปกติ คือความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวต่ำกว่า 120 mmHg (มิลลิเมตรปรอท) และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวต่ำกว่า 80 mmHg โดยความดันโลหิตสูงมี 3 ระดับดังนี้
- ความดันโลหิตเริ่มสูง
คือค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว 120 – 129 mmHg ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวต่ำกว่า 80 mmHg ในบางรายหากไม่ได้รับการแก้ไข ความดันโลหิตจะค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป - ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1
คือค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว 130 – 139 mmHg ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว 80 – 89 mmHg - ความดันโลหิตสูงระดับที่ 2
คือค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว 140 mmHg หรือมากกว่า และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว 90 mmHg หรือมากกว่า โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ น้อย (140-159/90-99) ปานกลาง (160-179/100-109) และรุนแรง (180/110mmHg หรือมากกว่า)
ถึงแม้คุณแม่จะไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อนการตั้งครรภ์ แต่สถานพยาบาลก็มักวัดความดันโลหิตให้ทุกครั้งที่มีนัดฝากครรภ์ หากความดันโลหิตมีค่าเท่ากับ 140/90 mmHg หรือมากกว่าจากการวัดสองครั้ง (แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง) โดยมีอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ จะถูกจัดว่าเป็นภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (gestational hypertension) หากมีหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าอวัยวะถูกทำลาย เช่นมีโปรตีนปนอยู่ในปัสสาวะ (ปัญหาเกี่ยวกับไต) จะถือว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษ หากคุณแม่มีภาวะความดันโลหิตสูงก่อน 20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ จะเรียกว่าเป็นภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดก่อนการตั้งครรภ์
ทำไมความดันโลหิตสูงจึงเป็นปัญหาขณะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์จะทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อคุณแม่และทารก ตัวอย่างมีดังนี้
- ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังรกได้น้อยลง : ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เลือดที่ไหลเวียนไปยังรกมีปริมาณลดลง หากมีภาวะนี้เกิดขึ้น ลูกน้อยอาจได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ทารกเติบโตช้าหรือที่เรียกว่า ภาวะทารกเติบโตช้าในครรภ์และทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา
- น้ำหนักแรกเกิดน้อย : เมื่อเลือดไหลเวียนไปยังรกได้น้อย ทารกจะขาดออกซิเจนและสารอาหาร เกิดภาวะทารกเติบโตช้าในครรภ์และในที่สุดก็เกิดมามีน้ำหนักแรกเกิดน้อย
- ความเสียหายต่ออวัยวะภายในอื่น ๆ ของคุณแม่ : หากไม่ได้คุมความดันโลหิต อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะอื่น ๆ เช่น สมอง, ปอด, ไต, ตับ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
- ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด : ภาวะครรภ์เป็นพิษจะเพิ่มความเสี่ยงเกิดรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งเป็นภาวะที่รกลอกตัวออกจากผนังมดลูกก่อนการคลอด หากเป็นรุนแรงจะทำให้เสียเลือดมาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของทั้งแม่และลูกได้
- การคลอดก่อนกำหนด : ในบางสถานการณ์ก็จำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนดเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
- ความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ : ภาวะครรภ์เป็นพิษจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจของคุณแม่ หากคุณแม่เคยมีภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือเคยคลอดก่อนกำหนดเนื่องจากความดันโลหิตสูงหลายครั้ง ก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้นในอนาคต
วิธีลดความเสี่ยงในการเป็นความดันโลหิตสูง
คุณแม่สามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาได้ดังนี้
- ไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ : ต้องไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งตลอดการตั้งครรภ์
- ทานยาสำหรับความดันโลหิตตามแพทย์สั่ง : แพทย์จะสั่งยาที่ปลอดภัยที่สุด โดยให้ในปริมาณที่เหมาะสม หากคุณแม่เคยมีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มาก่อน แพทย์อาจให้ทานแอสไพรินปริมาณต่ำ (81-150 มิลลิกรัม) เป็นประจำทุกวัน โดยเริ่มทานในช่วงท้ายของไตรมาสแรก
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ : คุณแม่อาจขอคำแนะนำจากนักโภชนาการเพื่อหาตัวเลือกอาหารที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง
- เคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ : ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องการออกกำลังกาย
- เลิกใช้สารบางชนิด : หลีกเลี่ยงแอลกอฮอลล์, บุหรี่ และยาเสพติดผิดกฎหมาย นอกจากนี้ควรปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ก่อนใช้ยาใด ๆ
การคลอด และการให้นมบุตรในคุณแม่ที่มีความดันโลหิตสูง
หากคุณแม่ต้องทานยาเพื่อคุมความดันโลหิตสูงตลอดการตั้งครรภ์ ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ว่าควรใช้ยาต่อหรือไม่ในช่วงการคลอดและหลังคลอด โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนำให้ทานยาต่อ สำหรับความดันโลหิตสูงที่ไม่รุนแรงถึงปานกลางสามารถคลอดธรรมชาติได้ แต่ในกรณีที่รุนแรงมาก แพทย์จะแนะนำให้ผ่าคลอด
คุณแม่ที่มีความดันโลหิตสูงสามารถให้นมลูกได้ ถึงแม้จะอยู่ระหว่างทานยา แต่แพทย์อาจทำการปรับยาตามความเหมาะสม
รับรองโดย:
พญ.วรรวดี ทรัพย์มี ปัญญากาศ (สูตินรีแพทย์) (1 มิถุนายน 2022)