โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกในคุณแม่ตั้งครรภ์
เกร็ดความรู้

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s palsy เป็นอาการอัมพาตที่ใบหน้าครึ่งเดียว ซึ่งหาพบได้ยาก และมักเกิดกับคุณแม่ไม่นานหลังการคลอด
โรคนี้อาจเกิดในช่วงท้ายของไตรมาสที่สาม หรือหลังการคลอดทันที
โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกคืออะไร
โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก คืออาการที่กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอ่อนแรงเป็นช่วง ๆ หรือเป็นอัมพาต โดยจะเกิดขึ้นฉับพลันและอาการจะแย่ลงใน 48 ชั่วโมง ทำให้เกิดความเจ็บปวดและไม่สบายตัว โรคนี้ตั้งชื่อตามเซอร์ ชาร์ลส์ เบลล์ แพทย์ผ่าตัดในยุคศตวรรษที่ 19 จากสกอตแลนด์ซึ่งเป็นผู้เริ่มเชื่อมโยงอาการนี้กับความเสียหายที่เส้นประสาทบนใบหน้า
สาเหตุของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
อาการของโรคเกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่มาเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อใบหน้าปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้ชัดเจน แต่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่, เริม, อาการหวัดทั่วไป, การติดเชื้อในลำคอ, โรคเบาหวาน, ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, ความดันในเลือดสูงเรื้อรัง, โรคอ้วน และความเครียดเรื้อรัง
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกมีโอกาสเกิดกับผู้ชายและผู้หญิงเท่า ๆ กัน แต่พบน้อยมากก่อนอายุ 15 ปี หรือหลังจากอายุ 60 ปี ในกลุ่มสตรีวัยเจริญพันธุ์ การศึกษาพบว่าโรคนี้มักเกิดในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์มากที่สุด โดยมักเกิดในไตรมาสที่สาม หรือภายใน 7 วันหลังคลอดบุตร
สาเหตุของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกในคุณแม่ตั้งครรภ์
สาเหตุของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าทั้งหมด แต่สิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกมักเกิดในสถานการณ์ต่อไปนี้
การติดเชื้อโรคเริมบริเวณขมับหลังหู : ความเครียดของร่างกายขณะตั้งครรภ์อาจทำให้ไวรัสโรคเริมกำเริบ ไวรัสนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทที่ใบหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตได้
การติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน : โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกมักเกิดในคนที่มีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ เช่นโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่
ภาวะครรภ์เป็นพิษ : อาการของโรคมักถูกใช้เพื่อทำนายอาการครรภ์เป็นพิษโดยจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษหรือความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มากขึ้นถึง 5 เท่า
กลุ่มอาการ HELLP : เป็นภาวะที่ค่าเอนไซม์ของตับผิดปกติ และเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งเป็นอาการที่มีความเชื่อมโยงกับโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
ปัจจัยอื่น ๆ มีดังนี้
- โรคเบาหวาน
- ความดันในเลือดสูง
- การบาดเจ็บ
- สารพิษ
- โรคลายม์ (Lyme disease)
- กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillan Barre Syndrome)
- โรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis)
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้าย (Myasthenia gravis)
- โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple sclerosis)
สัญญาณ และอาการของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
อาการที่พบได้บ่อย และสัญญาณการเกิดโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกมีดังนี้
- มีปัญหาในการยิ้ม ทำหน้าบึ้ง หรือหรี่ตา
- เปลือกตาหล่น มุมปากตก
- รู้สึกอ่อนแรงและมีการกระตุกในข้างที่มีอาการ
- รู้สึกตาและปากแห้ง
- น้ำลายไหล
- มีปัญหาในการพูด
- สูญเสียการรับรส
- เจ็บปวดหรือรู้สึกไม่สบายบริเวณขากรรไกร หรือใกล้หู
- มีเสียงอื้อในหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
- รู้สึกทนเสียงดังมาก ๆ ไม่ได้
- ปวดหัว มึนงง
- ไม่สามารถเลิกคิ้ว กะพริบตา หรือหลับตาข้างที่มีอาการได้
- น้ำตาไหลมากเนื่องจากตาแห้ง
วิธีวินิจฉัยโรค
แพทย์จะเริ่มโดยการตรวจสอบอาการทั่วไป จากนั้นจะทดสอบการได้ยินเพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้สามารถได้ยินและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ รวมถึงตรวจสอบเสียงอื้อในหู นอกจากนี้แพทย์จะทดสอบการทรงตัว เพื่อดูว่ามีอาการมึนหัวมากแค่ไหน
จากนั้นแพทย์อาจตรวจสอบการผลิตน้ำตา ตรวจจมูกและคอเพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อ ตรวจปัญหาในการรับประทานอาหารและดื่มน้ำ แพทย์จะตรวจหาผื่นบริเวณหู และบริเวณหนังศีรษะด้วย
ไม่มีการทดสอบพิเศษที่ใช้เพื่อตรวจโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกโดยตรง อย่างไรก็ตามเพื่อตัดความเป็นไปได้ในการเป็นโรคอื่น ๆ ออกไป และเพื่อการวินิฉัยว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาท แพทย์อาจให้ทำการทดสอบต่อไปนี้เพิ่มเติม
- ตรวจเลือด เพื่อตรวจดูว่ามีอาการอื่น ๆ เช่น อาการโรคเบาหวาน และโรคลายม์ (Lyme disease) หรือไม่
- ตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography หรือ EMG) เพื่อดูว่าอาการป่วยเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทหรือไม่
- การสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging หรือ MRI) หรือทำซีทีแสกน (computed tomography หรือ CT) บริเวณสมองและโครงสร้างของหู เพื่อดูว่ามีความผิดปกติทางโครงสร้างที่ทำให้เกิดอาการหรือไม่
วิธีรักษาโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกในคุณแม่ตั้งครรภ์หรือคุณแม่กำลังให้นม
ส่วนใหญ่แล้วอาการของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกจะไม่รุนแรงและไม่จำเป็นต้องรับการรักษาเพราะอาการจะหายไปได้ในเองภายใน 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน ในบางกรณีอาจต้องใช้ยากันตาแห้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาแห้งตอนกลางคืนหรือตอนทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ คนไข้อาจได้รับยาหยอดตาเพื่อใช้ในเวลากลางวัน หรือใช้ยาป้ายตาช่วงกลางคืน ยาจะช่วยไม่ให้กระจกตาเป็นแผล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในการจัดการโรคนี้
การรักษาแบบอื่น ๆ ได้แก่การให้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ และการทำกายภาพบำบัดเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทที่ใบหน้าและป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาตหดตัว ในบางกรณีที่อาการหนักมากซึ่งหาพบได้ยาก แพทย์อาจต้องผ่าตัดเส้นประสาทที่ใบหน้าก่อนการคลอด นอกจากนี้การพักผ่อน ทานวิตามินรวม ฝังเข็ม การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า หรือการฝึกแบบไบโอฟีดแบ็ก (biofeedback training) ก็อาจช่วยได้เช่นกัน
การรักษาอื่น ๆ โดยทั่วไปเช่นการใช้สเตียรอยด์ prednisolone ในขนาดที่แพทย์สั่ง ติดต่อกัน 5 วันช่วยให้หายได้เร็วขึ้น สำหรับการให้ยาต้านไวรัสอาจต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไปตามความจำเป็น
เมื่อใดที่ควรติดต่อแพทย์
หลังได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วอาการของโรคมักดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามอาการอาจเป็นอยู่ถึง 3-6 เดือนก่อนจะกลับเป็นปกติ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นเลย หรืออาการแย่ลงกว่าเดิม
รับรองโดย:
พญ.วรรวดี ทรัพย์มี ปัญญากาศ (สูตินรีแพทย์) (1 มิถุนายน 2022)