การพัฒนาสมองในช่วงแรก
สมองของทารกแรกเกิดจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสมองลูกน้อยได้
สมองของทารกแรกเกิดโดยเฉลี่ยจะมีขนาดประมาณ 1 ใน 4 ของขนาดสมองของผู้ใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาที่ลูกอายุครบ 1 ปี สมองของเขาจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าของตอนแรกเกิด และเมื่อเขาอายุ 3 ปี สมองของลูกจะมีขนาดใหญ่ถึง 80% ของขนาดสมองของผู้ใหญ่
สมองของเด็กมีการพัฒนาอย่างไร
เมื่อแรกเกิดทารกมีเซลล์สมองทั้งหมดที่พวกเขาจะมีไปตลอดชีวิต แต่เซลล์เหล่านี้ยังคงเจริญเติบโตและจะทำการเชื่อมต่อซึ่งกันและกันไปเรื่อย ๆ การเชื่อมต่อเหล่านี้ทำให้สมองเกิดการพัฒนาและทำหน้าที่ประสานกิจกรรมทั้งหมดในร่างกาย ในช่วงวัยเด็กเล็ก จะมีการเชื่อมต่อระบบประสาทใหม่เกือบหนึ่งล้านครั้งในทุก ๆ หนึ่งวินาที
จากการวิจัยพบว่าประสบการณ์ที่เด็ก ๆ ได้พบเจอในแต่ละวันมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างการเชื่อมต่อของสมองที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดพัฒนาการของสมอง โดยประสบการณ์เชิงบวกจากการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่พี่น้องและผู้ดูแลจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ดี แต่ประสบการณ์เชิงลบจะลดความสามารถในการสร้างการเชื่อมต่อของสมองที่จำเป็นสำหรับพัฒนาการที่เหมาะสม
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการของสมอง
มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก รวมถึงยีนที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่ แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเกี่ยวกับยีน แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เราสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของลูกได้ เช่น :
- โภชนาการที่ดี
- สภาพแวดล้อมที่ดี
- สร้างเสริมประสบการณ์เชิงบวกให้แก่ลูก
ประโยชน์ของโภชนาการที่ดี
โภชนาการที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองของลูกน้อย ทั้งขณะที่อยู่ในครรภ์และหลังคลอด ตั้งแต่สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ลูกน้อยจะต้องการสารอาหารบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสมอง สารอาหารที่จำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับการพัฒนาสมองของทารกคือ กรดโฟลิก ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3 กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) และกรดอีโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA)
ขณะอยู่ในครรภ์ ทารกจะได้รับสารอาหารทางเลือดจากสายรก และหลังคลอดจะได้รับสารอาหารจากน้ำนมแม่ เมื่อคุณแม่หยุดให้นมลูก หรือเปลี่ยนเป็นนมผงสำหรับทารก คุณแม่ควรดูให้แน่ใจว่าลูกน้อยได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ผลกระทบจากสภาพแวดล้อม
ลูกน้อยของคุณแม่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพคือสภาพแวดล้อมที่ไม่มีสารพิษ หรือการติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ทารกป่วยและชะลอพัฒนาการทางสมอง
โรคร้าย เช่น โรคมาลาเรีย หรือโรคไข้เลือดออกสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบได้ หากคุณแม่อยู่ในภูมิภาคที่มีการระบาดของโรคเฉพาะถิ่น เช่น โรคมาลาเรีย ควรแน่ใจว่าลูกน้อยของคุณนอนในมุ้งกันยุง การติดเชื้อในวัยเด็กชนิดอื่น ๆ สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกได้รับวัคซีนครบถ้วนตามเวลาที่แพทย์กำหนด
พิษจากสารตะกั่วอาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมอย่างรุนแรง ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากในบางประเทศยังอนุญาตให้ใช้สารตะกั่วในสีทาผนังได้ หากคุณแม่สงสัยว่าบ้านของคุณทาสีด้วยสีที่มีส่วนผสมของตะกั่ว ควรทาสีบ้านของคุณใหม่ด้วยสีที่ไม่มีสารตะกั่ว เพื่อป้องกันลูกน้อยของคุณจากการถูกทำลายสมองด้วยสารตะกั่ว
บทบาทของประสบการณ์ในวัยเด็ก
สมองของเด็กเป็นเหมือนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า ซึ่งคุณสามารถเขียนบทกวีที่สวยงามหรือเรื่องราวสยองขวัญที่น่ากลัวได้ ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์กับคุณแม่ สมาชิกในครอบครัว พี่เลี้ยงเด็ก ครู และผู้ดูแลคนอื่น ๆ ไม่เพียงส่งผลต่อความเร็วในการพัฒนาสมองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อมุมมองชีวิตในอนาคตของเขาอีกด้วย
หากเด็ก ๆ ได้รับความรัก ความปลอดภัย และความมั่นคงในช่วงที่สำคัญของการพัฒนาสมอง พวกเขาจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีชีวิตที่มีสุขภาพดีและประสบความสำเร็จ ในทางกลับกันถ้าเด็กมีความกลัว วิตกกังวล และไม่มั่นคง พวกเขาจะเติบโตมาพร้อมกับปัญหาทางจิตใจมากมาย เช่น ขี้อาย มีปมด้อย ขาดความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกไม่ปลอดภัย ยึดติดกับผู้อื่น และมองตนเองในแง่ลบ
หาสิ่งกระตุ้นสำหรับการพัฒนาสมองที่เหมาะสม
นอกเหนือจากการให้โภชนาการที่เหมาะสมแก่ลูกแล้ว ยังมีสิ่งที่คุณแม่ทำได้เพื่อช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อย:
- การดูแลด้วยการตอบสนอง: ตั้งแต่แรกเกิดเด็ก ๆ จะพยายามมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว ในระยะแรกการโต้ตอบจะอยู่ในรูปแบบของการยิ้ม การส่งเสียง หรือร้องไห้ ก่อนที่พวกเขาจะเรียนรู้การพูดคุยและสื่อสารความต้องการในภายหลัง พยายามใส่ใจพวกเขา ทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพยายามสื่อสาร และตอบสนองความต้องการของพวกเขาอยู่เสมอ นอกจากนี้ การพูดคุยกับพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ดี ปฏิสัมพันธ์ที่เรียบง่ายเหล่านี้มีความสำคัญ ช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนและพัฒนาได้เร็วขึ้น
- ภารกิจที่ท้าทาย: เมื่อเด็กโตขึ้น คุณแม่ควรมอบภารกิจที่ท้าทายให้พวกเขาเพื่อกระตุ้นสมองให้หาทางแก้ไข ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของเด็ก ภารกิจอาจมีตั้งแต่การเล่นจ๊ะเอ๋ เล่นซ่อนหา ไปจนถึงปริศนาง่าย ๆ การต่อบล็อกซ้อนกัน หรือการแก้แบบทดสอบทางคณิตศาสตร์ ในขณะที่เด็ก ๆ กำลังพยายามต่อสู้กับภารกิจเหล่านั้น คุณแม่อย่ารีบเข้าไปแทรกแซง หลักการที่ดีคือภารกิจใด ๆ ที่ลูกสามารถทำได้เอง ควรปล่อยให้ลูกได้พยายามด้วยตัวเองคนเดียว
- ลดเวลาหน้าจอ: ในช่วง 5 ขวบปีแรกของชีวิต เด็กส่วนใหญ่จะเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีได้น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเกมมือถือหรือวิดีโอ แม้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะอ้างว่าเพื่อการศึกษา แต่จริง ๆ แล้ว เด็ก ๆ ต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและฝึกฝนประสบการณ์เพื่อให้สมองของพวกเขาพัฒนา แม้ว่าการใช้หน้าจอสามารถจะกระตุ้นเด็ก ๆ ได้มาก แต่ก็ไม่ได้สร้างความทรงจำที่ยั่งยืน และจะสร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ ในสมองของเด็กได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รับรองโดย:
เกศสุภา จิระการณ์ (นักสุขภาพจิต) (31 มีนาคม 2021)