ดาวน์โหลดแอป

การเรียนรู้ภาษาใน 5 ปีแรก

การเรียนรู้ภาษาใน 5 ปีแรก
การเรียนรู้ภาษาใน 5 ปีแรก

ภาษาทำให้มนุษย์สามารถสื่อสารกันและกันและต่อยอดพัฒนาการเรียนรู้ขั้นสูงไปมากกว่าสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ พวกเรามาทำความเข้าใจกันว่า การให้เด็กเล็กได้เจอคำศัพท์ที่กว้างขวางและหลากหลายนั้นสำคัญอย่างไรต่อการพัฒนาภาษาของลูกน้อย

ภาษาคืออะไร
ใน
บรรดาสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ทั้งมวลไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าภาษา ก่อนที่ภาษาจะถูกสร้างขึ้น ความรู้ของคนเรานั้นถูกจำกัดด้วยประสบการณ์ของตัวเอง หลังจากนั้นก็มีคนค้นพบวิธีการถ่ายถอดความรู้ของตัวเองให้คนอื่น ในวีดิโอนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 4 อย่างเกี่ยวกับภาษา และจะมาฟังเรื่องราวของ ลูซี่ผู้โชคดีและพีทผู้น่าสงสาร เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญของภาษาในชีวิตประจำวัน

รากฐานของสมองของคนเรานั้นถูกสร้างผ่านประสบการณ์ในวัยแรกเริ่มของชีวิต Pat Levitt จากศูนย์พัฒนาการเด็กที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาของสมองในแต่ละช่วงวัยของชีวิต เขาแสดงให้เห็นว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้น สมองมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงน้อยลงอย่างมาก และยิ่งต้องใช้ความพยายามเพิ่มมากขึ้น อีกหนึ่งงานวิจัยเผยให้เห็นว่าเมื่อเด็กอายุครบ 5 ขวบ การเสริมสร้างกว่า 90% ของสมองได้ก่อตัวขึ้นเรียบร้อยแล้ว หากระหว่างในช่วง 5 ปีนั้น เด็กไม่ได้ถูกรับการกระตุ้นประสบการณ์ก็จะทำให้ทักษะการรับรู้ด้านภาษาและด้านอื่น ๆ อ่อนแอไปตลอดชีวิต

มนุษย์เรียนรู้ภาษาจากการเข้าสังคม เช่น จากการสังเกต หรือการลอกเลียนแบบผู้อื่น ในช่วงราว ๆ หนึ่งพันปีที่แล้ว จักรพรรดิเยอรมัน Friedrich ที่สอง พยายามที่จะพิสูจน์ว่าการเรียนรู้ด้านภาษานั้นเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง เขาให้พี่เลี้ยงลองเลี้ยงเด็ก โดยมีหน้าที่แค่ป้อนอาหารและดูแลด้านความสะอาด แต่ไม่ให้โต้ตอบหรือพูดคุยด้วยสักคำ ผลสรุปว่าไม่มีเด็กสักคนเดียวที่สามารถพูดได้ มิหนำซ้ำกลับเสียชีวิตอีกด้วย และนี่คือเหตุผลเดียวกันที่เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้จากวีดีโอเทปหรือเทคโนโลยี เด็กต้องได้รับการกระตุ้นจากการมีปฎิสัมพันธ์ตัวต่อตัวกับคนอื่น พวกเขาถึงจะให้ความสนใจและเรียนรู้

พัฒนาการเติบโตทางภาษาในสมองนั้นแข็งแรงมากที่สุดในปีแรกของชีวิต หากเราศึกษาการเติบโตของเส้นประสาทในสมองในช่วง 11 เดือนแรกของชีวิต และต่อจากนั้นไปอีก 15 ปี จะเห็นได้ว่าช่วงอายุ 5 ปีแรกนั้นสำคัญขนาดไหน จุดสูงสุดของการสร้างระบบประสาทที่รับผิดชอบด้านภาษาของคนนั้นอยู่ที่วัยแรกเกิดถึง 3 ขวบ ในช่วงเวลานี้เด็กจะสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้ในทุก ๆ 90 นาทีไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม ส่วนประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นและได้ยินนั้นแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเสียอีก 

ภาษากับโลกของเรา
เพราะเราจะต้องมองเห็นและได้ยินก่อนที่จะเลียนแบบภาษานั้น ๆ ยกตัวอย่าง ในเด็กอายุ 4 เดือน หากเด็กถูกเลี้ยงด้วยการพูดสองภาษา แม่ใช้ภาษาอังกฤษ และพ่อใช้ภาษาจีน เด็กก็จะสามารถรับรู้ความต่างของภาษาได้จากการสังเกตความเคลื่อนไหวของริมฝีปาก 
ส่วนด้านประสาททางการรับรู้ เช่นเหตุผลเชิงตรรกะ จะพัฒนาสูงสุดก็ต่อเมื่อเราเข้าใจศัพท์และสัญลักษณ์แล้วเท่านั้น การมีทักษะทางภาษาที่ดี จะส่งเสริมทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ได้ และจะทำให้เราเพลิดเพลินไปกับมันมากขึ้นด้วย 

ภาษานั้นสามารถหล่อหลอมโลกรอบ ๆ ตัวของเรา ดั่งเช่น Wittgenstein นักปรัชญาชาวเยอรมันเคยกล่าว “ขีดจำกัดทางภาษาของฉัน ก็คือขีดจำกัดของโลกของฉัน” ยกตัวอย่างคำว่า ‘สถานรับเลี้ยงเด็กรายวัน’ หรือ ‘daycare’ สำหรับบางคนอาจจะคิดว่ามันคือโรงเรียนเตรียมอนุบาล ชาวไอริชเรียกว่า ‘เพลย์สคูล’ และชาวเยอรมันที่ใช้คำว่า ‘อนุบาล’ หากเรารู้ว่าทั้ง 3 คำหมายความว่าอะไรเราก็จะสามารถเข้าใจและนึกภาพตามได้

เรื่องราวของลูซี่ผู้โชคดีและพีทผู้น่าสงสาร
ทีนี้มาฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ ลูซี่ผู้โชคดีและพีทผู้น่าสงสารกันบ้าง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสองคนที่ถูกเลี้ยงดูต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลูซี่ถูกเลี้ยงโดยแม่ของเธอซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่อยู่แล้ว ส่วนผู้ปกครองของพีทจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแล ซึ่งเธอก็ไม่ใช่คนพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ถูกบังคับให้ใช้ภาษาอังกฤษกับพีทเมื่อพวกเขาพูดคุยกัน โดยคำศัพท์ที่แม่ของลูซี่รู้จะอยู่ที่ราว ๆ  20,000 คำ ในขณะที่คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่พี่เลี้ยงของพีทรู้นั้นอยู่ที่ 5,000 คำ เพียงหนึ่งในสี่ของที่แม่ลูซี่รู้เท่านั้น ในเมื่อปีแรกของชีวิตนั้นคือเวลาที่ทักษะทางภาษาพัฒนาได้ดีที่สุด สมมุติว่าลูซี่ตื่นอยู่ซักครึ่งหนึ่งของตลอดเวลาที่แม่พูด ลูซี่จะได้ยินประมาณ 10,000 คำต่อวัน และใน 2,500 คำนั้นก็เป็นคำพูดที่แม่พูดกับลูซี่ การพูดกับเด็กโดยตรงมีความสำคัญมาก เวลาที่แม่ของลูซี่เชื่อมคำพูดไปพร้อมกับการกระทำ จะทำให้ลูซี่เข้าใจความหมายของมันได้ดีมาก 

ทางด้านของพีทนั้นก็จะได้ยินคำภาษาอังกฤษก็ต่อเมื่อพูดคุยกับพี่เลี้ยงเท่านั้น ซึ่งก็คือประมาณวันละ 1,000 คำ และนอกจากจะได้รับคำศัพท์ที่น้อยกว่าแล้ว เนื่องจากพี่เลี้ยงใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่อง คุณภาพในการเรียนรู้คำศัพท์นั้น ๆ ก็จะน้อยกว่าด้วย และบางคำก็อาจจะสื่อสารออกมาผิด ๆ ได้

ปีที่ 1
ภายในวันเกิดอายุ 1 ขวบ เด็กทั้งสองอาจจะพูดคำว่า ‘ม่ามี๊’ และ ‘ปะป๊า’ ได้เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็คือลูซี่รู้คำศัพท์กว้างกว่านั้นเยอะเพียงแต่เธอไม่สามารถพูดออกมาได้เท่านั้นเอง ส่วนคำศัพท์ของพีทนั้นมีขีดจำกัดที่มากกว่า 
เมื่อใดที่ลูซี่กับแม่ของเธอนั่งดูหนังสือรูปภาพ แม่ของลูซี่ก็จะชี้ให้ดูว่าภาพที่เห็นอยู่คืออะไร เจ้าลิงตัวน้อยอาจจะเป็นได้ทั้งกอริลล่า หรือชิมแปนซี เป็นสัตว์ชาญฉลาดที่ใช้วัตถุอุปกรณ์ ปีนป่ายบนต้นไม้ และใช้ชีวิตอยู่กับพ่อลิงแม่ลิงในป่าลึกที่แอฟริกา 

เมื่อพีทดูหนังสือรูปภาพเล่มเดียวกัน การเรียนรู้ของเขาจะถูกจำกัดด้วยทักษะทางภาษาของพี่เลี้ยง ลิงตัวเดียวกันในหนังสือเล่มนั้นอาจจะแค่ ‘น่ารัก’ และ ‘กินกล้วย’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพื่อทดแทนขีดจำกัดนั้น พีทได้รับการเรียนรู้จากแอพพลิเคชั่นแทน แต่ด้วยพื้นฐานที่ไม่เพียงพอทำให้พีทไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคำต่าง ๆ ที่เขาเห็นแปลว่าอะไร สำหรับเขามันก็เป็นเพียงแค่เสียงและสัญลักษณ์ที่เรียงต่อกันเป็นสีสันสวยงามเท่านั้น 

ปีที่ 2
เมื่อถึงวันเกิดอายุ 2 ขวบ ตอนนี้ลูซี่ได้เรียนรู้และเข้าใจกว่า 200 คำแล้ว เป็นจำนวนคำที่เด็กเริ่มใช้เรียนรู้กฎต่าง ๆ และไวยากรณ์ ส่วนพีทจะรู้คำศัพท์ที่น้อยกว่า และอาจจะรู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองได้ 
ลูซี่ชอบไปสวนสาธารณะกับคุณแม่ บางทีก็ยืนมองคุณลุงเล่นหมากรุก ลูซี่ไม่เข้าใจหรอกว่ามันเล่นยังไง แต่ที่เธอรู้ก็คือตัวละครของเกมจะมีตัวเบี้ย มีอัศวิน ราชินี กษัตริย์ บิชอป และม้า วันหนึ่งเธออาจจะอยากเรียนรู้กฎกติกาของเกมก็ได้ และมันก็จะง่ายสำหรับเธอเพราะเธอจะสามารถมองเห็นตัวละครและความสามารถของแต่ละตัวชัดขึ้น 

สำหรับพีทสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นเพียงรูปทรงไม้อะไรซักอย่างที่ดูแล้วก็เหมือน ๆ กัน บนแผ่นลายขวางแผ่นหนึ่งก็เท่านั้น การเรียนรู้กฎกติกาสำหรับพีทจะยากขึ้นเพราะในเมื่อตัวละครมันดูคล้าย ๆ กัน มันจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันได้อย่างไร 

ปีที่ 3
ภายในวันเกิดอายุ 3 ขวบ ทั้งสองจะสามารถเรียกชื่อของตัวเองได้แล้ว และในขณะที่ลูซี่เรียนรู้คำศัพท์ได้
1,500 คำ พีทมีเพียง 500 คำเท่านั้นที่เขาสามารถใช้อธิบายโลกรอบ ๆ ตัวได้

ปีที่ 4
ในปีที่ 4 ทั้งสองเริ่มเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลแล้ว ขณะที่พีทยืนมองชั้นวางของ เขาจะมองเห็นแท่นไม้รูปร่างต่าง ๆ ลูกบอล ของเล่นอีกซักอย่าง ม้าหนึ่งตัว และที่ขุดสีเหลือง  
ส่วนลูซี่ที่มองไปยังชั้นเดียวกันจะมองเห็นแท่นวงกลม สามเหลี่ยม สีเหลี่ยม ลูกบาส กังหันลมสีแดง ม้าโยกสีครีม และกล่องที่เต็มไปด้วยชุดขุดดินของเลโก้ เมื่อถึงเวลาเล่นลูซี่ก็จะเข้าใจว่าเพื่อนคนอื่น ๆ กำลังพูดถึงอะไรกันและเธอมักจะเป็นผู้นำในการเสนอไอเดียต่าง ๆ อยู่เสมอ ส่วนพีทก็มักจะไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไรอยู่ และหากบทสนทนาเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ พีทก็จะเหม่อลอยเพราะตามคนอื่น ๆ ไม่ทัน เมื่อถึงสิ้นปีลูซี่จะรู้จักคำ 3,500 คำในขณะที่พีทรู้จัก 1,000 คำ

ปีที่ 5
ตอนนี้ลูซี่สามารถประกอบคำออกมาเป็นประโยคได้อย่างถูกต้องแล้ว ก่อนนอนแม่ของเธอก็จะอ่านหนังสือให้ฟัง คำไหนที่ลูซี่ไม่รู้ก็จะเดาจากบริบทของเรื่อง และในฐานะที่แม่ของเธอใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็จะสามารถทำเสียงสูงเสียงต่ำเพื่อเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้กับเรื่องราวได้ เทพนิยายในหนังสือเริ่มมีตัวตนในหัวของลูซี่ และเธอก็สามารถจินตนาการและสร้างเรื่องราวขึ้นมาเองได้แล้ว

ทางด้านพีทจะยังคงพูดประโยคง่าย ๆ และใช้ไวยากรณ์แบบยังไม่คล่องนัก เมื่อใดที่พี่เลี้ยงอ่านหนังสือให้ก็จะได้ฟังแต่เสียงที่ราบเรียบเพิ่มความน่าเบื่อให้กับเรื่องราว และการให้ความสนใจก็จะลดลง คำศัพท์ที่พีทไม่รู้จักก็จะยังคงไม่รู้อีกต่อไป ภายในช่วงท้ายของอายุ 5 ปีลูซี่จะรู้จักคำศัพท์ 6,000 คำ และพีท 2,000 คำ

เพื่อเข้าใจว่าทำไมความต่างระหว่างทักษะการสื่อสารของเด็กทั้งสองนั้นกว้างใหญ่กว่าที่มองเห็น ลองคิดดูว่าคำศัพท์นั้นเป็นเพียงเครื่องมือในการทำความเข้าใจโลกของเรา ใช้สร้างความคิด ใช้วางโครงสร้างของไอเดีย และใช้สื่อสารกับผู้อื่น ด้วยคำศัพท์ 6,000 คำ เทียบกับ 2,000 แล้ว กล่องเครื่องมือของลูซี่นั้นใหญ่กว่าถึง 3 เท่า และเธอก็มีพื้นฐานที่แน่นพอสำหรับการเริ่มเรียนชั้นประถมแล้ว

อัจฉริยะของโลกอย่างไอน์สไตน์ ขณะเมื่อยังเด็กเขาก็ไม่ค่อยพูด เกร็ดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ “เนื่องจากเขาเป็นเด็กที่เริ่มพูดช้า ถึงอายุ 7 ขวบ พ่อแม่ของเขากังวลมากและพยายามทำหลายอย่างเพื่อให้เขาพูด จนถึงจุดหนึ่งที่ทั้งสองกลัวว่าไอน์สไตน์จะมีปัญหาด้านการเรียนรู้ จนวันหนึ่งในระหว่างที่ทั้งสามกำลังนั่งทานข้าวเย็น ไอน์สไตน์ก็พูดขึ้นมาว่า ‘ซุปนี้ร้อนเกินไป’ ด้วยความโล่งใจสุด ๆ พ่อแม่ของเขาก็เลยถามว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดอะไรเลย ซึ่งไอน์สไตน์ก็ตอบไปว่า ‘เพราะจนถึงเมื่อกี้ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี’ ”

ที่มา:

ดาวน์โหลดแอปMali Daily Pregnancy Tracker

แม่มือใหม่ & การตั้งครรภ์

เรตติ้ง 4.8 จากผู้ใช้งานกว่า 5,000+ คน

เรตติ้ง 4.8 จากผู้ใช้งานกว่า 5,000+ คน