ตะคริวที่ขา
อาการคนท้อง
ตะคริวที่ขาเป็นอาการเจ็บปวดที่มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนในช่วงตั้งครรภ์
สาเหตุของตะคริวที่ขา
สาเหตุของอาการตะคริวที่ขานั้นยังไม่แน่ชัด บางแหล่งข้อมูลเชื่อว่าเกิดจากการที่คุณแม่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น จึงทำให้ร่างกายต้องแบกรับภาระมากขึ้น เนื่องจากตะคริวที่ขามักพบบ่อยที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ การขาดน้ำ หรือปัญหาการไหลเวียนโลหิต ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของมดลูกจนไปกดทับเส้นเลือด ก็อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน
วิธีรับมือกับอาการตะคริวที่ขา
- ยืดกล้ามเนื้อน่องทันทีโดยการยืดขาและเท้า และค่อย ๆ งอเท้าเข้ามาทางหน้าแข้ง (อย่าเกร็งนิ้วเท้าขณะยืด เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อหดตัวและอาการแย่ลงได้) การยืดแบบนี้อาจเจ็บปวดในตอนแรก แต่จะช่วยลดอาการกระตุก และค่อย ๆ ทำให้ตะคริวที่ขาหายไปได้
- หลังจากยืดกล้ามเนื้อแล้ว นวดขาหรือประคบอุ่นด้วยถุงน้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จากนั้นลองเดินไปรอบ ๆ สักพักอาจช่วยบรรเทาอาการได้
วิธีป้องกันอาการตะคริวที่ขา
คุณแม่ไม่สามารถป้องกันการเกิดตะคริวที่ขาระหว่างตั้งครรภ์ได้ แต่วิธีดังต่อไปนี้อาจช่วยลดการเกิดตะคริวลงได้:
- ไม่ยืน หรือนั่งไขว่ห้างเป็นเวลานานๆ
- ยืดกล้ามเนื้อน่องเป็นประจำในระหว่างวัน และทำอีก 2-3 ครั้งก่อนเข้านอน
- หมุนข้อเท้า และกระดิกนิ้วเท้าไปพลาง ๆ ขณะนั่งเล่น หรือดูโทรทัศน์
- เดินเล่น ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน (ยกเว้นในกรณีที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ว่าไม่ควรออกกำลังกาย)
- นอนตะแคงซ้ายเพื่อช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตไปที่ขาได้ดีขึ้น
- ดื่มน้ำเป็นประจำระหว่างวันเพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- ลองแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำก่อนนอนเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การรับประทานอาหารเสริมช่วยได้หรือไม่?
งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรับประทานวิตามินเสริมธาตุแมกนีเซียม นอกเหนือจากวิตามินสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจช่วยป้องกันตะคริวที่ขาได้ อย่างไรก็ตาม การวิจัยอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าการเสริมแมกนีเซียมไม่ส่งผลต่อความถี่ หรือความรุนแรงของอาการ
คุณแม่อาจเคยได้ยินว่าอาการตะคริวที่ขาเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการขาดแคลเซียม และการรับประทานวิตามินเสริมแคลเซียมอาจจะช่วยบรรเทาอาการได้ ถึงแม้ว่าการได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอนั้นจะสำคัญกับร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าการเสริมแคลเซียมจะช่วยป้องกันตะคริวที่ขาได้
ดังนั้นคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานวิตามินเสริมในระหว่างตั้งครรภ์
รับรองโดย:
นพ. ปิยวุฒิ กรีฑาภิรมย์ (4 มีนาคม 2020)