การตั้งครรภ์ด้วยการทำ ICSI หรืออิ๊กซี่
ทุกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการรักษาภาวะมีลูกยากที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาบางประการของการทำเด็กหลอดแก้วแบบดั้งเดิม หรือ IVF
ทุกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการรักษาภาวะมีลูกยากที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาบางประการของการทำเด็กหลอดแก้วแบบดั้งเดิม หรือ IVF
การทำ ICSI (Intracytoplasmic sperm injection) หรืออิ๊กซี่ คือการผสมเทียมที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในไข่ที่สุกแล้วโดยตรงเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ
เหตุผลที่ควรทำ ICSI
การทำ IVF แบบปกติจะรอให้ตัวอสุจิเจาะไข่เข้าไปเพื่อทำการผสม แต่กระบวนการ ICSI จะทำการฉีดตัวอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการปฏิสนธิได้ถึง 80% ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จจึงนิยมใช้ ICSI เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากนี้แพทย์มักแนะนำให้ทำ ICSI หากคุณพ่อมีจำนวนอสุจิน้อย หรือมีปัญหาตัวอสุจิไม่แข็งแรง
ขั้นตอนในการทำ ICSI
ICSI มีขั้นตอนคล้ายกับการทำ IVF ยกเว้นขั้นตอนทำการผสมเทียม เนื่องจากเป็นขั้นที่ตัวอสุจิได้รับการช่วยเหลือในการเจาะเข้าไปในไข่เพื่อทำการปฏิสนธิ ขั้นตอนการทำ ICSI มีดังนี้
- การเตรียมร่างกาย: คุณจะได้รับยาเพื่อช่วยบำรุงภาวะเจริญพันธุ์เป็นเวลาสองสามเดือน ยาจะกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่มากขึ้น หลังจากนั้นจะต้องทำการอัลตราซาวนด์และตรวจเลือดเพื่อคอยตรวจนับจำนวนไข่ และวัดระดับฮอร์โมน
- การเก็บไข่และอสุจิ: เมื่อไข่สุกแล้วแพทย์จะใช้ท่อขนาดเล็กที่มีเครื่องดูดตรงปลายทำการดูดไข่ออกมาจากรังไข่ ในบางกรณีที่ไม่สามารถเก็บอสุจิด้วยวิธีทางธรรมชาติได้ แพทย์จะต้องใช้การผ่าตัดเพื่อเก็บตัวอย่างตัวอสุจิจากคุณพ่อ
- การผสมเทียม: ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจตัวอย่างอสุจิที่เก็บมา และตรวจตัวอย่างไข่เพื่อเฟ้นหาตัวอสุจิที่แข็งแรงที่สุด จากนั้นจะเลือกตัวอสุจิมาหนึ่งตัวและฉีดเข้าไปในไข่ที่สุกพร้อมผสมโดยตรง กระบวนการทั้งหมดนี้จะทำในจานเพาะเชื้อ
- การเคลื่อนย้ายตัวอ่อน: หลังการเก็บไข่ 3 – 5 วัน ตัวอ่อนที่ได้รับการผสมแล้วจะถูกเลือกมาเพื่อใส่กลับเข้าไปในมดลูก จำนวนตัวอ่อนที่ถูกใส่เข้าไปนั้นอาจมีมากกว่า 1 ตัว ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกันของแพทย์และคนไข้
- รอคอย: หลังจากใส่ตัวอ่อนเข้าไปในมดลูกแล้ว คุณสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หลังจากนั้น 6 – 8 สัปดาห์ สามารถทานยาที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของตัวอ่อนในครรภ์ได้ การทำ ICSI ถือว่าสำเร็จก็ต่อเมื่อตัวอ่อนทำการฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการตั้งครรภ์ หากการทำ ICSI ครั้งแรกไม่สำเร็จ สามารถลองทำใหม่ ในอีก 1 เดือน หรือตามที่แพทย์แนะนำ
ความเสี่ยง
การทำ ICSI มีความเสี่ยงเหมือนกับการทำ IVF แต่เนื่องจากกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงเพิ่มเติมดังนี้
- อันตรายต่อไข่: การใช้เข็มเจาะเข้าไปในไข่เพื่อฉีดตัวอสุจิอาจทำให้ไข่เสียหายหรือแตกออกได้ ความเสี่ยงที่สามารถเกิดได้มีประมาณ 5%
- ปัญหาการมีลูกยากอาจส่งต่อไปยังลูก: เนื่องจากวิธี ICSI จะช่วยให้ตัวอสุจิของคุณพ่อซึ่งจริง ๆ แล้วอาจไม่แข็งแรงพอเจาะเข้าไปในไข่ได้ ปัญหาด้านพันธุกรรมที่ทำให้อสุจิไม่แข็งแรงและเป็นสาเหตุของการมีลูกยากจึงมีโอกาสถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกได้
ข้อดีของการทำ ICSI
นอกเหนือจากข้อดีที่เหมือนกับการทำ IVF แล้ว การทำ ICSI ยังมีข้อดีเพิ่มเติมดังนี้
- อัตราการสำเร็จสูงขึ้น: การฉีดตัวอสุจิเข้าในไข่โดยตรงทำให้โอกาสสำเร็จมากขึ้นกว่าการทำ IVF แบบปกติ นอกจากนี้เปลือกของไข่ที่ถูกแช่แข็งเก็บไว้จากการทำ IVF ครั้งก่อนหน้าอาจจะแข็งมากขึ้นทำให้เจาะได้ยากขึ้น หรือตัวอสุจิที่เก็บมาแช่แข็งไว้อาจมีความแข็งแรงลดลง ในกรณีนี้ การทำ ICSI ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิได้
- การเจาะเก็บอสุจิโดยตรงจากอัณฑะ หรือ TESE (Testicular sperm extraction) : ในการทำ ICSI อาจใช้วิธีเจาะเก็บอสุจิโดยตรงเพื่อช่วยฝ่ายชายที่มีปัญหาความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ และเพิ่มโอกาสในการมีลูกได้
อัตราการทำสำเร็จในการทำ ICSI ตามช่วงอายุ (โดยประมาณ)
- 29% สำหรับผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี
- 23% สำหรับผู้หญิงอายุ 35 – 37 ปี
- 9% สำหรับผู้หญิงอายุ 40 – 42 ปี
- 3% สำหรับผู้หญิงอายุ 43 – 44 ปี
เนื่องจาก ICSI เป็นส่วนหนึ่งของการทำ IVF อัตราการทำสำเร็จจึงใกล้เคียงกันมาก โดยการวิจัยพบว่าการทำ IVF ซ้ำ 3 ครั้งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์โดยรวมได้ถึง 50% นอกจากนี้ เพราะการทำ ICSI นั้นช่วยเพิ่มอัตราการปฏิสนธิของอสุจิกับไข่ ในขั้นตอนการผสมเทียม ดังนั้นการทำ IVF ในครั้งก่อน ๆ ที่เคยได้ตัวอ่อนปริมาณน้อยเนื่องจากปฏิสนธิไม่สำเร็จในขั้นตอนการผสมเทียมนั้น ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จมากขึ้นเมื่อใช้ ICSI เข้ามาช่วยเสริม
รับรองโดย:
พญ.วรรวดี ทรัพย์มี ปัญญากาศ (สูตินรีแพทย์) (1 เมษายน 2023)